ไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่สนแม้คำดูถูก กวาดถนนหาเงิน ขอแค่มีเงินเลี้ยงลูกก็พอ
ยิ้มสู้เพื่อลูก กวาดถนนหาเงิน ไม่หมิ่นเงินน้อย แค่มีเงินเลี้ยงลูกก็พอ
ช่วง โ ค วิ ด หลายคนตกงาน หลายคนถูกพักงาน โดยไม่ได้รับค่าจ้าง แต่บางคนได้รับเงินเยียว ย า เดือนละ 5000 และได้รับการพักชำระหนี้ บางคนไม่ได้ลำบากอะไรก็ลงทะเบียนเอากับเขาด้วย สุดท้ายบางคนได้เงินมาก็เอามาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย
คนบางคนเอาแต่ โ ท ษ รั ฐ บาล โทษโ ร ค ร้ า ยที่เข้ามา แต่กลับไม่ทำอะไรเลย ในขณะที่บางคนกำลังทำงานเล็กๆ น้อยๆ อะไรที่พอทำได้ก็ทำ หลังจากเศรษฐกิจเริ่มกลับมาฟื้นฟูเข้าสู่สภาพเดิม
บางคนเตรียมรับมือไว้แล้ว อาจจะทุลักทุเลหน่อยแต่ก็กลับมาทำกิจการหรืองานเดิมได้ ในขณะที่บางคนตกงานไปก็ได้แต่นั่งรองาน แต่หนี้มันไม่ได้รอกับเราด้วย เดี๋ยวก็ต้องจ่ายค่าบ้าน เดี๋ยวก็ต้องจ่ายค่างวดรถ ไหนเด็กๆ จะเปิดเทอมอีก ชุลมุนวุ่นวายกันแล้วทีนี้
หลายคนทำทุกอย่าที่พอทำได้ในช่วงที่ตกงาน แต่บางคนกลับไม่ทำอะไรเลยและคิดว่าจะไปเริ่มหลังจากนั้น วันนี้จึงขอนำเรื่องราวดีๆ อีกหนึ่งเรื่องราวที่สะท้อนความรักของผู้เป็นแม่ เมื่อสื่อต่างประเทศนำเสนอมาให้แง่คิดกัน
เรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังกวาดถนน โดยเธอสวมเสื้อสุขาภิบาล เธอทำงานกวาดถนนโดยที่มีเด็กผู้หญิงวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆเธอตลอด แม้ว่างานที่เธอทำอยู่หลายคนดูถูก แต่เธอทำงานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ต่อมาไม่นานมีชาวเน็ตเข้าไปถามเรื่องราวของเธอ ทราบว่าเธอคือแม่เลี้ยงเดี่ยวหลังเลิกเรียนไม่มีคนดูแลลูก หลังรับเธอกลับจากโรงเรียนแล้ว จึงให้ลูกสาวอยู่ข้างๆ รอเธอทำงานกวาดถนนจนเสร็จ แล้วค่อยกลับบ้านพร้อมกันนี่คือชีวิตประจำวันของแม่ลูกคู่นี้
เธอชื่อว่า ยี่เยียนฮวา กับลูกสาววัย 5 ปี เธอเล่าว่า
“ฉันเพิ่งมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สุขภิบาลได้ไม่กี่เดือนรถนักเรียนก็จะมาส่งลูกสาวหลังเลิกเรียน แล้วฉันก็จะwามายังที่ทำงานของฉัน ฉันก็เลยwาลูกสาวออกมาทำงานกวาดถนนเสมอ และในวันนี้ลูกสาวได้เรียนเต้นรำ เธอก็เลยเต้นให้ฉันดู เราทั้งคู่สนุกสนานกันมาก และดีใจที่เรามีกันและกัน”
“ลูกสาวของฉัน 5 ปีแล้ว แต่เธอเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่ดื้อ ไม่ซนเลย เป็นเด็กตัญญู แม้ว่าเราจะมีชีวิตที่ลำบาก แต่ลูกสาวก็ไม่เคยบ่น แถมยังมีความสุขที่ได้วิ่งเล่นเคียงข้างแม่อย่างฉัน”
“ได้เห็นเขาเติบโตขึ้นทุกวัน ก็รู้สึกดีใจมาก แม้ต้องเหนื่อยแค่ไหนก็ยอม สิ่งเดียวที่อ ย า กจะขอก็คือ ให้ลูกตั้งใจเรียน เติมโตแข็งแรง เป็นเด็กร่าเริง สดใสก็พอแล้ว”
เธอ เล่าให้ฟังว่า เธอหย่ากับสามี ลูกชายคนโตอยู่กับสามี ส่วนลูกสาวคนเล็ก ซึ่งในตอนนั้นอายุเพียง 1 ปีกว่าก็อยู่กับเธอ ก่อนที่จะไปโรงเรียนลูกสาวก็อยู่กับแม่ที่อยู่ชนบท ส่วนเธอก็ทำงานดูแลคนชรา แต่พอเริ่มเติบโตและไปโรงเรียนเธอก็เลยต้องwาลูกสาวเข้าเมืองมาอยู่กับเธอ
แต่เนื่องจากงานดูแลคนชราไม่สามารถwาลูกสาวไปที่ทำงานได้ ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากงานนั้น และมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สุขภิบาล เช่าห้องเล็กๆ อยู่กับลูกสาวเพียงลำพัง
เธอบอกว่าส่วนมากต้องตื่นตั้งแต่ตี 5 ของทุกๆ เช้า เพื่อออกมากวาดถนนจนกระทั่ง 7 โมงเช้า ก็เสร็จงาน รีบกลับบ้านไปทำอา ห า ร แปลงฟันล้างหน้า แต่งตัวให้ลูกสาวและwาขึ้นรถโรงเรียน จากนั้นเธอก็จะรีบไปทำงานต่อ พอตกเย็นเมื่อลูกสาวเลิกเรียน รถโรงเรียนก็จะwาลูกสาวมาส่ง
เธอก็จะwามาที่ทำงานด้วย เพื่อมาเล่นที่สำนักงานสักครู่ เพื่อนร่วมงานของเธอต่างก็ชื่นชอบแม่ลูกคู่นี้มาก เพราะลูกสาวของเธอเป็นเด็กฉลาด และมีมาร ย า ท เธอพูดด้วยความละอายใจว่า
“ลูกสาวต้องรอฉันเลิกงานประมาณ 3 ทุ่มครึ่งทุกวัน ถึงจะกลับบ้านไปทำกับข้าวให้เธอทานได้”
เมื่อพูดถึงลูกสาวของเธอ ใบหน้าของเธอก็เติมไปด้วยรอยยิ้ม
ความรักของแม่ ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดในโลก ใครๆ ต่างก็รู้ดี เพราะแม่ มีความสำคัญต่อทุกชีวิตบนโลก แม่คือผู้ให้กำเนิดชีวิต และเมื่อให้กำเนิดแล้ว แม่ก็ยังคอยเลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่
และด้วยบทบาทหรือหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ของผู้เป็นแม่ จึงทำให้แม่เป็นบุคคลที่ ศ าส น า ให้ความยกย่องเชิดชูเป็นอย่างมาก
แม่ผู้ที่สู้ชีวิต ทำทุกอย่างเพื่อลูก เห็นไหมคะว่าการไม่เลือกงานย่อมทำให้เราหาหนทางไปให้กับตัวเองได้เสมอ
ถ้าเราไม่รู้จักสู้ชีวิต ชีวิตเราก็คงจะเหมือนวันธรรมดาๆที่ดูไม่มีคุณค่าอะไร ไม่ได้สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเอง แต่ถ้าเราหัดคิดใหม่ทำใหม่ คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดูมีคุณค่า มีประโยชน์เราก็จะสามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับตัวเราได้มากขึ้น
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา”
ไม่ว่าดีหรือร้าย ล้วนแต่ทิ้งรอยประทับอย่างถาวร..ในความทรงจำ.
แหล่งที่มา : tnews.co.th, mokkalana.com, storylog
เรียบเรียงโดย ปริญญาชีวิต